ต้องยอมรับว่าการประกาศ “สู้ตาย แม้ไปอยู่นรกก็จะสู้” ของนายใหญ่นั้น “เป็นของจริง”

เห็นได้จากนายใหญ่เริ่มเช็คกำลังพลคนเสื้อแดงและเตรียมชักธงรบโดยคืนวันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา การนำกองทัพเสื้อแดงมารวมพลที่สนามหลวง แล้วไปปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลเวลา 00.40 น. ของวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 นั้น ยังไม่ใช่เป็น “วันเผด็จศึก” ของนายใหญ่ แต่เป็นการ “วัดกระแสนิยม วัดคนจงรักภักดี และวัดทาสผู้มีความซื่อสัตย์”
การวัดครั้งนี้ เชื่อว่านายใหญ่คงได้รับความพอใจในระดับหนึ่ง เพราะมี “เสื้อแดงแรงฤทธิ์” ที่ยังรักนายใหญ่มาชุมนุมกว่า 30,000 คน นอกจากเป็นการวัดกระแสนิยม วัดคนจงรักภักดี วัดผู้มีความซื่อสัตย์แล้ว สิ่งที่นายใหญ่ได้จากการระดมคนเสื้อแดงครั้งนี้ ยังเป็นการสร้างกระแสไม่ให้สังคมไทยลืมคนหน้าเหลี่ยม ฉุดผู้ที่ใจชั่วเอนเอียงไปอยู่กับนายกฯ เบอร์ 27 ให้เกิดความลังเล และยังเป็นการประกาศก้อง “กูจะชิงอำนาจมึงให้ได้” ให้เหล่าสมุนมั่นใจอีกต่างหาก

การที่นายใหญ่ให้กลุ่มเสื้อแดงบุกไปถึงทำเนียบ แล้วแค่ปิดประกาศเรียกร้อง 4 ข้อให้นายกฯ อภิสิทธิ์รีบจัดการแล้วกลับบ้าน คือ
1. ปลดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ 2. ดำเนินคดีกับกลุ่มพันธมิตร 3. นำรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 มาใช้ 4. จากนั้นยุบสภาเลือกตั้งใหม่ เพราะนายใหญ่รู้ว่า เฮียมาร์คต้องปฏิเสธข้อเรียกร้องทั้ง 4 ข้อแน่ ซึ่งจะเป็นเงื่อนไขทำให้กลุ่มเสื้อแดงมีข้ออ้างที่จะระดมพลออกมาเล่นงานรัฐบาลในศึกครั้งใหญ่ต่อไป

“รบร้อยครั้ง ชนะเด็ดขาดสักครั้ง ก็ถือว่าคุ้ม” นี่คือมติจากใจของนายใหญ่ หลังจากที่รบแพ้มาแล้วอย่างซ้ำซาก แม้นายใหญ่อาจเล็งเห็นว่า “การทะเลาะไม่เลิกกับรัฐบาล” เช่นนี้ อาจเป็นการยั่วยุให้รัฐบาลถอนพาสปอร์ตของนายใหญ่ทุกฉบับ และเร่งให้ประเทศที่นายใหญ่ไปหลบภัยดำเนินการ “ส่งผู้ร้ายข้ามแดน” นายใหญ่ก็ยินยอม ส่วนการถอดยศนั้น นายใหญ่คงไม่ยี่หระมานานแล้ว เมื่อนายใหญ่ “กล้ารบแตกหัก” เช่นนี้ ก็ต้องเหลียวมาดูกลยุทธการตอบโต้ของฝ่ายรัฐบาลบ้างว่า ใช้กลยุทธอะไรไปต่อกรกับ “จอมคลั่งแค้น และสยบสาวกที่ชอบใช้ความรุนแรง 
เท่าที่ดูจากเหตุการณ์ รัฐบาลคงสู้แบบ “ลดเครดิตฝ่ายตรงข้าม” นอกจากไม่ให้ราคาของบุคคล ยังทำให้ “ศึกสู้ตาย” ให้เหลือแค่การก่อกวนของแก๊งข้างถนน ในขณะเดียวกันก็ “เตะตัดขา” คู่ต่อสู้ในทางลับ เช่น ผ่าเสื้อแดงแตกเป็นฝักเป็นฝ่าย ใช้อำนาจรัฐทำให้กลุ่มย่อยเป็น “ม้าขาเดี้ยง” ก็ต้องจับตาดู ในขณะที่นายใหญ่ เร่งฟืนเร่งไฟให้การต่อสู้ยกฐานะเป็น “ศึกระดับชาติ” ฝ่ายรัฐบาลกลับพยายามพลิกผันให้เป็นการ “ก่อกวนของแก๊งข้างถนน” เพื่อช่วยนักโทษหนีคุกเพียงคนเดียว สุดท้ายของสุดท้ายใครจะบรรลุเป้าหมาย ก็อยู่ที่ “ใครคือมืออาชีพ”
จาก http://www.naewna.com/news.asp?ID=146443



|